เช่าหรือซื้อคอนโด แบบไหนเหมาะสำหรับแต่ละเจนGEN
Generation ก็คือยุคสมัยของกลุ่มคนตามช่วงอายุ ซึ่งหมายถึง ช่วงเวลาเฉลี่ยระหว่างการมีลูกคนแรกของแม่กับการมีลูกคนแรกของลูก ดังนั้นในแต่ละ Generation ก็จะห่างกันประมาณ 20 กว่าปี
ซึ่งในเรื่อง Generation นี้มีคนศึกษากันมากมายโดยเฉพาะสายทางด้านสังคมศาสตร์ที่จะศึกษาทั้งในด้านพฤติกรรม สังคม การใช้ชีวิต ความคิดต่างๆ เรามาดูกันครับว่า Generation นั้นมีกี่ช่วงกันบ้าง
1. Lost Generation (เกิดในช่วงปี 1890-1915)
คนที่อยู่ในยุคของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ไม่มีใครเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน
2. Greatest Generation (เกิดในช่วงปี 1910-1924)
กลุ่มคนที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ส่วนใหญ่จะร่วมต่อสู้ในสงคราม และเป็นส่วนช่วยในการฟื้
นฟูเศรษฐกิจ มีความสำนึกในความเป็นพลเมือง เป็นทางการ และศรัทธาในความเชื่อ
3. Silent Generation (เกิดในช่วงปี 1925-1945)
กลุ่มคนที่เกิดในช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีอยู่ไม่ค่อยมากลแล้วในปัจจุบัน ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำงานกันอย่างหนัก ทุกคนมีความรักชาติ รักในกฎระเบียบ เป็นรากฐานมาสู่คนยุคปัจจุบันนี้
4. Baby Boomer (เกิดในช่วงปี 1946-1964)
Baby Boomer คือ คนที่เกิดในช่วงปี 1946-1964 เหตุการณ์สำคัญๆของคนช่วงอายุนี้ คือ
อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
อยู่ในช่วงสงครามเกาหลีและเวียดนาม
เป็นยุคที่เริ่มมีโทรทัศน์
เป็นยุคเริ่มต้นของระเบิดนิวเคลีย
ยุคของสงครามเย็น
ยุคสมัยของแห่งการเรียกร้องสิทธิมนุษย์ชน
รวมถึงดนตรีแนวร็อคแอนด์โรล
ทัศนคติและคุณค่าของคนกลุ่มนี้ คือ
มองโลกในแง่ดี และความพึงพอใจโดยทั่วไป
มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อการทำงาน สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
แรงจูงใจของคนกลุ่มนี้ คือ
5. Gen X (เกิดในช่วงปี 1965-1980)
Gen X คือ คนที่เกิดในช่วงปี 1965-1980 เหตุการณ์สำคัญๆของคนช่วงอายุนี้ คือ
ช่วงสิ้นสุดของสงครามเย็น
ยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์
ทัศนคติและคุณค่าของคนกลุ่มนี้ คือ
การทำงานเป็นสิ่งท้าทาย
การทำงานเป็นคำมั่นสัญญา
การทำงานคือชีวิต
ชอบพึ่งพาตนเอง
ทำงานแบบสมดุล
แรงจูงใจของคนกลุ่มนี้ คือ
การได้ฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ
การได้พักผ่อน
การได้ทำสิ่งต่างๆให้บรรลุเป้าหมาย
อยากอยู่ในสายตาของหัวหน้า
สร้างสมดุลการทำงานและการพักผ่อน
การสื่อสารและใช้เทคโนโลยีของคนกลุ่มนี้ คือ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ แฟ็กซ์ อินเทอร์เน็ต
6. Gen Y (เกิดในช่วงปี 1981-1996)
Gen Y, Millennials, Gen Next คือ คนเดียวกันที่เกิดในช่วงปี 1981-1996 เหตุการณ์สำคัญๆของคนช่วงอายุนี้ คือ
เหตุการณ์ 9/11
สงครามอ่าว
การเติบโตของอินเทอร์เน็ต มือถือ และ SMS รวมไปถึงเครือข่ายสังคมต่างๆ
ทัศนคติและคุณค่าของคนกลุ่มนี้ คือ
มองโลกในแง่ดี
ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม
มีความทะเยอทะยาน
มีคุณธรรมสูง มีความซื้อสัตย์ มีความมั่นใจในตัวเอง และชอบเข้าสังคม
แรงจูงใจของคนกลุ่มนี้ คือ
การได้ฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ
การได้พักผ่อน
การได้ทำสิ่งต่างๆให้บรรลุเป้าหมาย
ทำงานเต็มที่และเที่ยวเล่นอย่างเต็มที่
อยากให้คนมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
การสื่อสารและใช้เทคโนโลยีของคนกลุ่มนี้ คือ ชอบการถ่ายทอดสด ดูโทรทัศน์ ดูเคเบิ้ลทีวี รับส่งอีเมล์และ SMS ชอบพูดคุยผ่านช่องทางต่างๆบนอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ Social Media เป็นประจำ
7. Gen Z (เกิดในช่วงปี 1997-2009)
Gen Z คือ คนเดียวกัน ที่เกิดในช่วงปี 1997-2009 โดยเกิดมาในยุคของเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย กลุ่ม Gen Z นี้ ติดโลกออนไลน์ อยู่กับโลกโซเชียล เทคโนโลยี มือถือ แทปเล็ต เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีแทบจะทุกรูปแบบ รับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เปิดกว้างทางความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างมากขึ้น สามารถปรับทัศนคติได้ดี กล้าแสดงออก มีความมั่นใจสูง ชอบทำงานหลายอย่างพร้อมๆกัน แต่มีความอดทนต่ำ มีทัศนคติเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้จ่าย เพื่อสร้างความสุขความพอใจกับตนเอง เปิดรับข้อมูลสั้นๆได้ใจความ เน้นความสวยงามของรูปแบบการสื่อสารประเภทต่างๆ
8. Gen C
กลุ่ม Baby Boomer และ Gen X ที่หันมาสนใจใช้เทคโนโลยี ซึ่งในยุคของตัวเองนั้นยังไม่มีสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ซึ่งกลุ่ม Gen C นี้จะโพสต์ข้อความอะไรที่เป็นข้อมูลความรู้เป็นส่วนใหญ่ ต่างกับ Gen Y ที่โพสต์หลายๆอย่างตามอารมณ์
9. Gen Alpha (เกิดในช่วงปี 2010-2025)
Gen Alpha คือ กลุ่มเจเนอเรชันที่เกิดในช่วงปี 2010-2025 นับว่าเป็นกลุ่มที่อยู่กับความพร้อมของเทคโนโลยีต่างๆที่เรียกว่าขั้นสุด ชีวิตขาดมือถือและอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ไม่ได้ยึดติดกับอาชีพที่มั่นคงอีกต่อไป และไม่ได้ยึดติดกับการทำงานประจำ หรือต้องทำงานในที่ทำงานเสมอไป แต่จะทำในสิ่งที่สนใจเท่านั้น เช่น พวกเกมเมอร์ e-sport นักสร้างคอนเทนต์ประเภทต่างๆ กลุ่ม startup ต่างๆ การเป็น YouTuber และ Influencer นับได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดที่สุด เพราะอยู่กับเทคโนโลยีตั้งแต่เกิด
ขอขอบคุณที่ดีๆจาก popticles.comเช่าหรือซื้อคอนโด
เปรียบเทียบการ เช่า vs ซื้อ คอนโด แบบไหนคุ้มกว่ากัน
ทั้งการเช่าและการซื้อคอนโด ต่างก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบในด้านความคุ้มค่าแล้ว จะได้เป็นดังนี้
1. ในด้านค่าใช้จ่าย
เช่าคอนโด สำหรับการเช่าคอนโด จะมีค่าใช้จ่ายส่วนแรกตอนทำสัญญาเช่า เช่น ค่าประกันห้อง ค่าเช่าล่วงหน้า เป็นต้น ซึ่งจะเก็บครั้งเดียวและเมื่อย้ายออกจะได้ค่าประกันห้องคืนกลับมา หากคืนห้องในสภาพเดิม และในแต่ละเดือนก็จะมีค่าเช่ารายเดือนตามสัญญาเช่า ที่ต้องจ่ายในขณะที่เข้าอยู่
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเช่าคอนโดจะค่อนข้างคงที่ และเมื่อรวมกับค่าสาธารณูปโภคต่างๆ แล้ว ก็จะค่อนข้างใกล้เคียงกันในทุกเดือน ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างคล่องตัว
ซื้อคอนโด ในการซื้อคอนโดจะมีค่าใช้จ่ายส่วนแรกก่อนซื้อทั้งการจอง การดาวน์ ค่าธรรมเนียมการโอน ฯลฯ ซึ่งจะเป็น 10-15% ของราคาคอนโด ที่ต้องเตรียมเป็นเงินสดเอาไว้
ส่วนหลังจากที่ซื้อแล้ว ถ้าหากซื้อเป็นแบบกู้ธนาคาร ในแต่ละเดือนก็จะมีค่าผ่อนคอนโดในอัตราที่กำหนด รวมถึงในแต่ละปีก็จะมีค่าส่วนกลางตามขนาดห้องที่เป็นเจ้าของด้วย ซึ่งถ้าหากผ่อนจ่ายจนครบตามสัญญากู้ซื้อคอนโดแล้ว คุณก็จะได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้น
2. การตกแต่งภายในที่ตอบความต้องการ
เช่าคอนโด จะไม่สามารถตกแต่งอะไรเพิ่มเติมไปจากสัญญาเช่าได้ โดยปกติแล้ว การทำสัญญามักจะมีการถ่ายภาพจุดต่างๆ เอาไว้เพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังเช่า ในการป้องกันความเสียหาย หรือการดัดแปลงสภาพห้องไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทาสีใหม่ เปลี่ยนวอเปเปอร์ เปลี่ยนพื้น เจาะผนัง
แต่ก็จะมีบางจุดที่สามารถตกแต่งเพิ่มเข้าไปได้ โดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวห้อง เช่น การซื้อเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่มเติม การเปลี่ยนภาพตกแต่งผนังห้อง เป็นต้น
ซื้อคอนโด เมื่อสิทธิ์ความเป็นเจ้าของอยู่กับคุณแล้ว ภายในห้องชุดก็สามารถปรับเปลี่ยน ตกแต่งได้ตามสไตล์ที่คุณชอบได้อย่างเต็มที่ เช่น การทาสีใหม่ เปลี่ยนวอลเปเปอร์ ปูพื้น เปลี่ยนไฟ ทำบิวท์อินใหม่ เป็นต้น แต่ก็ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคาร
3. การต่อยอดลงทุนในอนาคต
เช่าคอนโด สำหรับการเช่าคอนโด เงินที่จ่ายให้กับทางเจ้าของห้องทุกเดือนคือเงินค่าเช่า ซึ่งผู้เช่าจะไม่มีกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของห้องได้ รวมถึงผู้เช่าก็ยังไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในการบริหารจัดการต่างๆ ร่วมกับนิติคอนโดด้วย
ซื้อคอนโด ในการซื้อคอนโด ห้องชุดนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ ซึ่งหากในอนาคตมีแผนจะย้ายออกไปที่อื่น ก็สามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ และถ้าหากคอนโดตั้งอยู่ในทำเลที่ในอนาคตมีความเจริญเพิ่มมากขึ้น ก็อาจทำให้คอนโดมีมูลค่าสูงขึ้น สามารถขายต่อและทำกำไรได้อีกด้วย
4. ความสะดวกต่อการโยกย้ายทำเลที่อยู่
เช่าคอนโด ในการเช่าคอนโดจะสามารถโยกย้ายที่อยู่ได้ง่าย ซึ่งถ้าหากว่าเช่าอยู่ครบตามสัญญาแล้ว อยากเปลี่ยนทำเลที่อยู่ หรือมีการย้ายที่ทำงานไกลออกไปจากที่พักเดิม ก็สามารถย้ายไปเช่าคอนโดใหม่ที่มีความสะดวกกับการใช้ชีวิตมากขึ้นได้
ซื้อคอนโด สำหรับการเป็นเจ้าของคอนโดแล้ว ถ้าหากต้องมีการย้ายที่อยู่ ก็อาจจะมีขั้นตอนมากกว่าการเช่า เพราะเมื่อย้ายออกไปแล้ว ก็ต้องคิดต่อว่า ห้องที่เราเป็นเจ้าของจะปล่อยเช่า หรือจะขายไปเลย ซึ่งก็จะต้องใช้เวลาในการหาผู้เช่าหรือผู้ซื้อต่อด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก GBBANK.CO.TH